วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

                                                  การเลี้ยงกบนา

ที่มาและความสำคัญของโครงงาน
            เนื่องจากพืชพรรณ สัตว์บริโภค บริโภคธรรมชาติได้ลดน้อยลง ราคากบนาก็มีมูลค่าสูง จึงคิดว่าควรจะเลี้ยงกบนา ไว้รับประทานเอง มีเหลือค่อยนำไปขาย เป็นรายได้เสริมระหว่างเรียน และส่งเสริมอาชีพสุจริตได้ในอนาคต

วัตถุประสงค์ของโครงงาน
1 เพื่อให้ผู้เรียนได้ศึกษา แนวปฏิบัติตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง
2 เพื่อให้เกิด ความรู้ ทักษะ และการเรียนรู้ การเลี้ยงสัตว์
3 สร้างรายได้ให้แก่ ครอบครัวและช่วยลดรายจ่ายในครัวเรือนได้

ขอบเขตของโครงงาน
เป็นโครงงานที่ศีกษาเพื่อนำทรัพยากรที่ใช้พื้นที่ของตนเองมีอยู่เพียงเล็กน้อยให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น การนำพื้นที่มาทำเกี่ยวกับการทำเกษตร  การเลี้ยงปลา   กบ  ไก่ และการปลูกผัก

วิธีการดำเนินการ
1. การเลี้ยงกบควรเลือกพื้นที่เป็นที่สูงหรือที่ดอน มีลักษณะราบเสมอ
 2. สร้างบ่อซีเมนต์ขนาดกว้าง 1 เมตร ยาว 1.5 เมตร สูง 1 เมตร เพื่อใช้เพาะพันธุ์กบ จำนวน 1 บ่อ และสร้างบ่อขนาดกว้าง 3 เมตร ยาว 4 เมตร จำนวน 3 บ่อ โดยก่อแผ่นซีเมนต์และฉาบด้วยปูนซีเมนต์ ปูนที่ฉาบควรหนาเป็นพิเศษ ตรงส่วนล่างที่เก็บขังน้ำสูงจากพื้น 1 ฟุต พื้นล่างเทปูนหนาเพื่อรองรับน้ำ และมีท่อระบายน้ำอยู่ตรงส่วนที่ลาดที่สุด 
3. พันธุ์กบที่จะเพาะเลี้ยง ควรเลือกกบนา เพราะเจริญเติบโตเร็ว และเป็นที่นิยมของผู้บริโภค กบนาตัวผู้มีขนาดเล็กกว่าตัวเมีย เมื่อจับพลิกหงายขึ้นจะเห็นกล่องเสียงอยู่ใต้คางแถวมุมปากส่วนตัวเมียมองไม่เห็นกล่องเสียง

ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1.  ได้รับความรู้จากการเลี้ยงกบนา
            2.  สร้างรายได้ลดรายจ่ายให้กับครอบครัว
       3.  ช่วยให้นักเรียนมีประสบการณ์และรายได้เพิ่มมากขึ้น
            4.  ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์

นิยามศัพท์
หนังสือประกอบการอ่านเรื่อง การเลี้ยงกบในบ่อซีเมนต์ หมายถึง หนังสือที่ผู้รายงานสร้างขึ้นมาให้อ่านประกอบการสอนกลุ่มสาระการงานอาชีพและเทคโนโลยี(งานเกษตร) ที่มีสีสัน มีเนื้อหา และขั้นตอนวิธีการเลี้ยงกบในบ่อซีเมนต์ มีจำนวน 5 เล่ม ดังนี้ เล่ม 1 เรื่อง ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับกบ เล่ม 2 เรื่อง กบน้อยเลือกคู่ เล่ม 3 เรื่อง ครอบครัวสุขสันต์ เล่ม 4 เรื่อง กบน้อยไม่สบาย และเล่ม 5 เรื่อง เกณฑ์ประสิทธิภาพของหนังสือประกอบการอ่าน หมายถึง เกณฑ์คุณภาพของหนังสือ ซึ่งนักเรียนเรียนแล้วสามารถปฏิบัติกิจกรรมและตอบคำถามได้มากที่สุด โดยกำหนดไว้ คือ 70/70 หมายถึง ดังนี้
1) 70 ตัวแรก หมายถึง ร้อยละของคะแนนเฉลี่ยของนักเรียนทั้งหมด ที่ได้จากการทำแบบทดสอบย่อยระหว่างเรียน ได้คะแนนเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า ร้อยละ 702) 70 ตัวหลัง หมายถึง ร้อยละของคะแนนเฉลี่ยของนักเรียนทั้งหมดที่ได้จากการทำแบบทดสอบและวัดผลสัมฤทธิ์หลังการเรียน เรื่อง การเลี้ยงกบในบ่อซีเมนต์ ได้คะแนนเฉลี่ยไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70
                                                            
                                                                   
                                                                            บทที่  2
                                                                            กบนา


             วงศ์กบนา หรือ วงศ์กบแท้ (อังกฤษ: True frog;วงศ์: Ranidae) เป็นวงศ์ของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำในอันดับกบ (Anura) วงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Ranidae

               กบในวงศ์นี้มีลักษณะโดยรวม คือ มีกระดูกสันหลังหน้ากระดูกก้นกบ 8 ปล้อง กระดูกสันหลังมีเซนทรัมเป็นแบบอย่างของโพรซีลัสหรือเป็นแบบอย่างของไดพลาสิ โอซีลัส กระดูกหัวไหล่เป็นแบบอย่างของเฟอร์มิสเทอร์นัล กระดูกแอสทรากาลัสและกระดูกแลคาเนียมเชื่อมรวมกันเฉพาะส่วนต้นและส่วนปลาย ไม่มีกระดูกแทรกระหว่างกระดูกนิ้ว 2 ชิ้นสุดท้าย กระดูกนิ้วชิ้นสุดท้ายมีส่วนปลายนิ้วเรียวยาวหรือเป็นรูปตัว T ลูกอ๊อดมีช่องจะงอยปากและมีฟัน ช่องเปิดของเหงือกมีช่องเดียวอยู่ทางด้านข้างของด้านซ้ายลำตัวมีขนาดและรูปร่างแตกต่างกันมาก โดยชนิดที่ใหญ่ที่สุดในวงศ์นี้คือ กบโกไลแอท (Conrana goliath) ที่พบในทวีปแอฟริกาที่มีความยาวเต็มที่ประมาณ 30 เซนติเมตร ขณะที่บางชนิด บางสกุลมีลำตัวอ้วนป้อมและอาศัยอยู่ในโพรงดิน บางชนิดอาศัยอยู่ตามลำธารที่กระแสน้ำไหลแรงและวายน้ำ ได้ดีมาก ก็มีด้วยกันหลายชนิด ในหลายสกุล

                                     
                                     บทที่  3
เครื่องมือและวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการศึกษา   
1.โรงเรือนแบบเพิงหมาแหงจัดเป็นโรงเรือนที่สร้างได้ง่ายที่สุด เพราะไม่สลับซับซ้อน ลงทุนน้อย แต่มีข้อเสียคือ ถ้าหันหน้าของโรงเรือนเข้าในแนวทางของลมมรสุม ฝนจะกลับเข้าไปในโรงเรือนได้โรงเรือนแบบนี้ไม่ค่อยมีความทนทานเท่าที่ควร เนื่องจากจะถูกฝนและแดดอยู่เป็นประจำ
2.ตาข่าย
3.ไม้กระดาน
4.อ่างเพาะพันธุ์กบ
5.ไม้กวาดทำความสะอาด               
6.สายยางเปลี่ยนน้ำ
7.หัวอาหาร








                                   
                                      
                                                                            บทที่  4
ผลการศึกษา

 ผลการดำเนินงาน
            1.  ได้ศึกษานักเรียนมีรายได้ระหว่างเรียนเพิ่มขึ้น
            2.  ได้ศึกษานักเรียนมีอาชีพที่สุจริตทำในอนาคต
วิธีการเลี้ยงกบนา
     การเลี้ยงกบในบ่อดิน ใช้พื้นที่ประมาณ 100-200 ตารางเมตร ภายในคอกเป็นบ่อน้ำลึกประมาณ 1 เมตร บางแห่งอาจจะทำเกาะกลางบ่อเพื่อเป็นที่พักของกบและที่ให้อาหาร แต่บางแห่งก็ใช้ไม้กระดานทำเป็นพื้นลาดลงจากชานบ่อก็ได้ ส่วนพื้นที่รอบ ๆ ขอบบ่อภายในที่ห่างจากรั้วคอกอวนไนลอน กว้าง 1 เมตร ปล่อยให้หญ้าขึ้น หรือบางรายอาจปลูกตะไคร้เพื่อให้กบใช้เป็นที่หลบอาศัยภายในบ่อที่เป็นพื้นน้ำจะมีพวกผักตบชวา หรือพืชน้ำอื่น ๆ ให้กบเป็นที่หลบซ่อนภัยและอาศัยความร่มเย็นเช่นกัน คอกที่ล้อมรอบด้วนอวนไนลอนนี้ ด้านล่างจะใช้ถังยางมะต่อยผ่าซีก หรือแผ่นสังกะสีฝังลึกลงดินประมาณ 1 ศอก เพื่อป้องกันศัตรูบางชนิด เช่น หนู ขุดรูลอดเข้าไปทำอันตรายกับกบที่อยู่ในบ่อหรือในคอก ส่วนด้านบนของบ่อมุมใดมุมหนึ่ง จะมุงด้วยทางมะพร้าวเพื่อเป็นร่มเงา และยังใช้เป็นที่ให้อาหารกบอีกด้วย นอกจากนั้นบางแห่งยังใช้เสื่อรำแพนเก่า ๆ ที่ใช้ทำเป็นฝาบ้าน นำมาวางซ้อนกัน โดยมีลำไม้ไผ่สอดกลางเพื่อให้เกิดช่องว่างให้กบเข้าไปหลบอาศัย และด้านบนนั้นก็เป็นที่รองรับอาหารที่โยนลงไปให้กบกินได้
                                                                    
                                                       




                                                                             บทที่  5
สรุปผลการศึกษา

สรุปผลการศึกษา
            การศึกษาเลี้ยงกบนามีประโยชน์ทำให้นักเรียนมีรายได้เสริมระหว่างเรียน
มีอาชีพสุจริตในอนาคต ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ เพื่อที่จะนำมาพัฒนาเป็นอาชีพเสริมได้

ประโยชน์ที่ได้รับจากโครงงาน
            1.  ได้ศึกษาการเลี้ยงกบนา
            2.  นักเรียนมีรายได้ระหว่างเรียนเพิ่มขึ้น
            3.  นักเรียนมีอาชีพที่สุจริตทำในอนาคต
            4.  นักเรียนใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์

   ปัญหาและอุปสรรค
อุปสรรคประการสำคัญในการเลี้ยงกบ  คือ การเกิดโรคของกบ ซึ่งโดยทั่วไปมักมีสาเหตุมาจากความบกพร่องในการจัดการฟาร์มทำให้เกิดการติดเชื้อโรคต่างๆ  ได้แก่  ปรสิต  หรือเชื้อแบคทีเรียขึ้น  เมื่อพบว่ากบป่วย  สิ่งแรกที่เกษตรกรควรให้ความสนใจคือ  ระบบการจัดการฟาร์ม  การรักษาความสะอาดของบ่อเลี้ยง  เป็นต้น  ซึ่งเมื่อสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้แล้ว กบส่วนใหญ่จะคืนสู่สภาพปกติ  โดยไม่ต้องใช้ยาหรือสารเคมีในการรักษา จะเห็นได้ว่าถ้ามีการวางแผนและจัดการฟาร์มให้ถูกต้องปัญหาการเกิดโรคจะน้อยลง หรือลดความรุนแรงลงได้

  ข้อเสนอแนะ
          จากการได้ได้ศึกษาเกี่ยวกับการทำโครงงานเลี่ยงกบได้ให้ความรู้และการเลี้ยงกบสามารถนำมาเป็นอาชีพเลี้ยงตนเองได้ยังสามมารถนำกบไปขายในตลาดทำให้มีรายได้เข้ามาในครอบครัว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น